การลงทุนในแฟรนไชส์คือการซื้อ “โอกาสที่ทำซ้ำได้” ไม่ใช่แค่ซื้อสิทธิ์ใช้แบรนด์ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือการตรวจให้ชัดว่าแบรนด์นั้นมี ระบบที่พิสูจน์แล้ว และ ตัวเลขจริง ที่รองรับการเติบโตในทำเลและต้นทุนของคุณ ไม่ว่าจะเป็น SOP การปฏิบัติงาน การซัพพอร์ตภาคสนาม ซัพพลายเชนที่เสถียร ไปจนถึงหน่วยเศรษฐศาสตร์ต่อสาขา (ยอดขายเฉลี่ย–ช่วงต่ำสูง, ต้นทุน, ค่าแรง, ค่าเช่า, Payback)
บทความนี้รวบรวม 10 เกณฑ์ที่แฟรนไชส์ที่ดีควรมี พร้อมแนวทางใช้งานจริง: สิ่งที่ควรมี, วิธีตรวจสอบ, และสัญญาณเตือน เพื่อช่วยให้คุณถามคำถาม “ตรงจุด” ขอเอกสาร “ที่ควรได้” และตัดสินใจบนข้อมูล ไม่ใช่ความรู้สึก
1) ระบบที่พิสูจน์แล้ว ( Proven System )
ควรมี: SOP รายขั้นตอน, Operation Manual, วิดีโอเทรนนิ่ง, ตารางอบรมก่อน–หลังเปิด, ตารางตรวจมาตรฐาน (audit)
ตรวจยังไง: ขอสารบัญคู่มือ + ตัวอย่างหน้าเนื้อหา, ตาราง audit 6–12 เดือนล่าสุด, เคสแก้ปัญหามาตรฐาน (เช่น คนขาด, ของขาด)
สัญญาณเตือน: คู่มือมีแต่หัวข้อ/ไม่อัปเดต, audit ไม่มีความถี่ชัด, การอบรมพึ่ง “พี่ ๆ สอนน้อง” แบบปากเปล่า
ตัวอย่างดี: เปิดสาขาใหม่ 2 แห่ง ทำตาม SOP แล้ว KPI บริการ (เวลาเสิร์ฟ, คะแนนรีวิว) ต่างกันไม่เกิน ±10%
2) หน่วยเศรษฐศาสตร์ต่อสาขา ( Unit Economics )
ควรมี: ยอดขายเฉลี่ย/ช่วงต่ำ–สูง (P10–P90), GM/Gross Margin, COGS, ค่าแรง %, ค่าเช่า %, Payback (เดือน), กระแสเงินสดสุทธิ
ตรวจยังไง: ขอไฟล์คำนวณ + สมมติฐาน, ตัวอย่างสเตทเมนต์สาขาจริง (ปิดชื่อได้), ตัวเลข 12 เดือนล่าสุด (ไม่ใช่เฉลี่ยทั้งชีวิตแบรนด์)
สัญญาณเตือน: บอกแต่ “ยอดขายสวย” แต่ไม่โชว์ COGS/ค่าแรง/ค่าเช่า, Payback คำนวณจากกำไรขั้นต้นไม่ใช่เงินสดจริง
สูตรย่อ: Payback(เดือน) = เงินลงทุนรวม ÷ กระแสเงินสดสุทธิต่อเดือน
ตัวอย่างดูคร่าว ๆ: ร้าน QSR มักเล็ง GM ≥ 60%, ค่าแรง 18–25% ของยอดขาย (แตกต่างตามอุตสาหกรรม/ทำเล)
3) แบรนด์แข็งแรง (Brand Strength)
ควรมี: การรับรู้แบรนด์, เอกลักษณ์ชัด, รีวิวจริง, ทรัพย์สินทางปัญญาคุ้มครอง (เครื่องหมายการค้า/สูตร/ดีไซน์)
ตรวจยังไง: ดูรีวิวบนแพลตฟอร์มสาธารณะ, เพจ/เว็บไซต์/สื่อข่าว, แผนสื่อสาร 6–12 เดือน (แคมเปญที่จะทำ, KPI ที่จะวัด)
สัญญาณเตือน: รีวิวเนื้อหาเหมือนกันผิดธรรมชาติ, ไม่มีแผนสื่อสารล่วงหน้า, ตราสินค้ายังไม่ได้จด
ตัวอย่างคำถาม: “ปีที่แล้วแบรนด์โตจากอะไร? ปีนี้จะโตจากอะไร? วัดผลด้วยตัวชี้วัดไหน?”
4) การอบรมและซัพพอร์ต ( Training & Support )
ควรมี: หลักสูตรก่อน–หลังเปิด, Field Support ลงพื้นที่, Hotline/SLA ตอบกลับ, คู่มือแก้ปัญหาเร็ว
ตรวจยังไง: ขอ SLA เป็นลายลักษณ์อักษร, ตารางลงพื้นที่, เคสจริงที่เคยช่วยสาขาแก้ปัญหา (เช่น ยอดตก/คนขาด)
สัญญาณเตือน: “มีทีมช่วย” แต่ไม่บอกเวลา/ช่องทาง/ความถี่ชัดเจน, ไม่มีรายงานปิดเคส
ตัวอย่าง SLA ดี: ตอบรับแจ้งเหตุภายใน 2 ชม., เสนอแผนแก้ภายใน 24 ชม., ติดตามผลจน KPI กลับสู่เกณฑ์
5) ซัพพลายเชนและควบคุมคุณภาพ ( Supply Chain & QA )
ควรมี: ผู้จัดหาหลัก + ผู้สำรอง, กำหนดมาตรฐานรับ–เก็บ–ใช้วัตถุดิบ, แผนรับมือโลจิสติกส์สะดุด
ตรวจยังไง: ดูรายชื่อซัพพลายเออร์/สัญญาระยะยาว, SLA ขนส่ง, เช็กลิสต์ QA และความถี่การตรวจ
สัญญาณเตือน: พึ่งผู้จัดหารายเดียว, ราคาทุนเหวี่ยงบ่อย, ไม่มีบันทึก QA
ตัวอย่างเกณฑ์: อัตรา “ออเดอร์ส่งช้า/ของเสีย” < 2–3% ต่อเดือน ( ขึ้นกับสินค้า/ระยะทาง )
6) การตลาดและแคมเปญ (Marketing Playbook)
ควรมี: ปฏิทินแคมเปญส่วนกลาง, แนวทาง Local Marketing, เทมเพลตครีเอทีฟ, วิธีวัดผล (ROAS, CPA, Repeat Rate)
ตรวจยังไง: ขอแผนแคมเปญปีนี้, สัดส่วน Marketing Fund, ชุด Asset ที่สาขาจะได้ + กรณีศึกษาผลลัพธ์
สัญญาณเตือน: เก็บกองกลางแต่ไม่มี Deliverables ชัดเจน, ไม่เคยวัดผล/ทำ A/B test
ตัวอย่าง KPI: แคมเปญเปิดสาขาใหม่ ROAS ≥ 2–3x ภายใน 30 วัน (ขึ้นกับประเภทธุรกิจ/ตั๋วเฉลี่ย)
7) พื้นที่คุ้มครองและการเลือกทำเล (Territory & Site)
ควรมี: เขตกันชน/นโยบายทับซ้อนชัด, เกณฑ์คัดเลือกทำเล (ทราฟฟิก, โปรไฟล์ลูกค้า, คู่แข่ง, ค่าเช่าต่อยอดขาย)
ตรวจยังไง: ขอเอกสารนโยบายเป็นลายลักษณ์อักษร, ตัวอย่างรายงานประเมินทำเล, เงื่อนไขย้าย/ขยายสาขา
สัญญาณเตือน: อนุมัติแบบตามใจ, ไม่มีข้อมูลสนับสนุน, เกิดการแย่งลูกค้ากันเองบ่อย
ตัวอย่างกรอบคิด: ค่าเช่า/ยอดขายรวม (Rent-to-Sales) มักเล็ง ≤ 10–15% สำหรับ QSR (ต่างอุตสาหกรรมเกณฑ์ต่างกัน)
8) เทคโนโลยีและข้อมูล (Technology & Data)
ควรมี: POS/Inventory/CRM/BI, แดชบอร์ดเรียลไทม์, สิทธิ์เข้าถึง/เจ้าของข้อมูลชัด, PDPA/ความปลอดภัย
ตรวจยังไง: ดูเดโมระบบจริง + รายงานตัวอย่าง, เอกสารนโยบายข้อมูล, Roadmap ฟีเจอร์ 6–12 เดือน
สัญญาณเตือน: รายงานช้า/แยกไฟล์มือ, ไม่มี Role/Permission, ไม่ระบุ Data Ownership
ตัวอย่างเมตริก: Waste %, Stock Turnover, AOV, Repeat Rate, Gross Margin by Channel/Menu
9) ธรรมาภิบาลและข้อกฎหมาย (Compliance & Governance)
ควรมี: สัญญาโปร่งใส (Fee ทั้งหมด: Franchise/Royalty/Marketing/ระบบ/อบรม/อุปกรณ์), เงื่อนไขต่อ–โอน–เลิก, กลไกไกล่เกลี่ย
ตรวจยังไง: ขอร่างสัญญา + ตารางค่าใช้จ่ายรวม, ตัวอย่างเคสข้อพิพาทและข้อสรุป, นโยบาย PDPA/ความปลอดภัย
สัญญาณเตือน: ค่าธรรมเนียมแฝง, เงื่อนไขผูกมัดเกินควร, ไม่ยอมให้เวลาตรวจสัญญา
เคล็ดลับ: ทำ “ตารางค่าใช้จ่ายตลอดอายุสัญญา” (Total Cost of Ownership) จะเห็นภาพจริงชัด
10) การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Ongoing Innovation)
ควรมี: Pilot ก่อนปล่อยทั้งระบบ, ตัวชี้วัดผลลัพธ์ชัด, ช่องทางรับฟังแฟรนไชซี, Roadmap รายไตรมาส/ครึ่งปี
ตรวจยังไง: ขอรายงานผลทดสอบล่าสุด (เช่น AOV/Turnover/Labor %/Margin ก่อน–หลัง), แผน 6–12 เดือนหน้า
สัญญาณเตือน: อยู่กับที่นาน ไม่มีการทดสอบ/วัดผล, เปลี่ยนบ่อยแต่ไม่เคยสรุปบทเรียน
ตัวอย่างผลทดสอบดี: เมนูใหม่เพิ่ม AOV +12% โดยไม่ทำให้เวลาให้บริการนานขึ้นเกิน 5%




