เทคนิควิธีรับมือค่าไฟแพงสำหรับผู้ประกอบการร้านเบเกอรี่

ไฟฟ้าก็ถือเป็นต้นทุนอย่างหนึ่งที่สำคัญสำหรับการทำเบเกอรี่ และเมื่อต้นทุนสูงขึ้นแบบนี้เราก็จำเป็นต้องหาวิธีและปรับตัวให้ทัน

หลังจากมีกระแส ค่าไฟขึ้นราคา มีผู้คนมากมายที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวต่างโพสต์ภาพแชร์บิลค่าไฟกันเป็นจำนวนมาก ทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของค่า FT ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าไฟแพงขึ้นตามไปด้วย จึงเป็นการยืนยันได้ว่า ค่าไฟมีการปรับขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ ซึ่งค่าไฟฟ้าก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกับธุรกิจอาหาร และเบเกอรี่โดยตรง ทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ยูนิลีเวอร์ ฟู้ดส์ โซลูชั่นส์ จึงไม่รอช้าที่จะนำเอาข้อมูล สาระความรู้ดี ๆ มาบอกต่อ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการรับมือกับปัญหาดังกล่าว

มารู้อัตราค่าไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดกันก่อน

เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดมีกำลังไฟ และอัตราค่าไฟแตกต่างกัน และอีกหนึ่งสิ่งที่เหล่าผู้ประกอบการควรทราบหากไม่อยากจ่ายค่าไฟแพงนั่นก็คือเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ แม้จะไม่ได้ทำงาน แต่หากไม่ถอดปลั๊กออก เครื่องใช้ไฟฟ้าก็จะยังมีไฟหล่อเลี้ยง หรือกินไฟอยู่ดี เพราะฉะนั้นหากอยากประหยัดค่าไฟ สิ่งที่ควรทำเป็นประจำหลังจากใช้งานอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ ก็คือการปิดสวิตช์และถอดปลั๊กออกทุกครั้งหลังใช้งานนั่นเอง

ตัวอย่างกำลังไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ 

  1. เตาไมโครเวฟ กินไฟประมาณ 100-1,000 วัตต์
  2. เครื่องปิ้งขนมปัง กินไฟประมาณ 800-1,000 วัตต์
  3. ตู้เย็น กินไฟประมาณ 75-240 วัตต์
  4. เตาอบขนม กินไฟประมาณ 2,000-3,000 วัตต์
  5. เครื่องตีแป้งแบบมือ กินไฟประมาณ 200-300 วัตต์
  6. เครื่องตีแป้งแบบตั้งโต๊ะ กินไฟประมาณ 300 วัตต์ขึ้นไป
  7. เตาไฟฟ้า กินไฟประมาณ 200-1,500 วัตต์
  8. ตู้แช่เบเกอรี่ กินไฟประมาณ 350-700 วัตต์

ส่องตัวการสำคัญที่ทำให้ค่าไฟแพง

ปัญหาค่าไฟแพง เป็นหนึ่งปัญหาใหญ่ ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจในทุกสาขาอาชีพ ทำให้ทุกภาคส่วนเกิดความตระหนัก และกระตือรือร้นที่จะรับมือกับปัญหาดังกล่าว แต่การที่จะรับมือกับปัญหาใด ๆ ได้นั้น เราจำเป็นต้องทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาเหล่านั้นเสียก่อน สำหรับสาเหตุหลัก ๆ ของปัญหาค่าไฟแพงนั้น สามารถแบ่งแยกได้เป็น 2 สาเหตุพื้นฐาน ดังนี้

1  ค่าไฟแพง เพราะค่า Ft ขยับสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด

แต่เดิม ค่า FT มีค่าติดลบ แต่ในภายหลังค่า FT เริ่มขยับขึ้น จาก 1.39 สตางค์ต่อหน่วย มาเป็น 24.77 สตางค์ต่อหน่วย ในช่วงกลางปี และขยับขึ้นอย่างก้าวกระโดดมาเป็น 93.43 สตางค์ต่อหน่วยในช่วงปลายปี 2565 

2 ค่าไฟแพง เพราะการใช้เครื่องไฟฟ้าในหน้าร้อนจะทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟมากขึ้น

ข้อมูลจากการไฟฟ้านครหลวง อากาศร้อนขึ้น 1 องศาเซลเซียส จะทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าใช้ไฟฟ้ามากขึ้นประมาณ 3% 

ตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณค่าไฟ

การจะตอบให้ได้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟแพงนั้น ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าบิลค่าไฟที่เราจ่ายกันทุกเดือนนั้น คิดคำนวณจากอะไรบ้าง สำหรับวันนี้เรามีคำตอบง่าย ๆ มาตอบให้ผู้ประกอบการได้คลายสงสัยกันว่าปัจจัยที่ใช้ในการคำนวณค่าไฟ 1 บิลคิดคำนวณจาก 4 ปัจจัยหลัก ๆ คือ ค่าไฟฟ้าฐาน หรือค่าโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ระบบสายส่งฯ, ค่าบริการรายเดือน ซึ่งแตกต่างไปตามประเภทผู้ใช้ไฟ (หรือเรียกภาษาบ้าน ๆ ว่าเราใช้ไฟไปกี่หน่วย), ภาษี Vat 7% และ ค่าไฟฟ้าผันแปร (FT)  ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ไม่ว่าจะเป็นค่าเชื้อเพลิง หรือค่าความพร้อมจ่าย นั่นเอง

วิธีคำนวณค่าไฟฟ้าเบื้องต้น

เนื่องจากอัตราค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับกับต้นทุนจากค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเหล่าผู้ประกอบการทั้งหลายจึงควรทราบวิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายว่าที่ผ่านมานั้น ใช้ไฟฟ้าไปกี่หน่วย จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเงินเท่าไร และมีวิธีการในการ ลดค่าไฟ อย่างไร ซึ่งก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่าอัตราค่าไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นใช้ไฟมากน้อยเพียงใด โดยจะต้องสังเกตว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละเครื่องมีกำลังไฟฟ้าที่มีหน่วยเป็นวัตต์เท่าไร เพราะยิ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีจำนวนวัตต์มาก ก็หมายความว่าจะใช้ไฟฟ้ามากขึ้นไปด้วย  ดังนั้นก่อนที่จะทำการคำนวณค่าใช้ไฟฟ้า จะต้องสำรวจว่าภายในสถานประกอบกิจการ หรือภายในที่อยู่อาศัยนั้นมีเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทไหนบ้าง และเปิดใช้งานประมาณเดือนละกี่ชั่วโมง จากนั้นนำมาคำนวณค่าใช้ไฟฟ้าด้วยสูตรดังต่อไปนี้

– กำลังไฟฟ้า (วัตต์ ) x จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้า ÷  1,000 x จำนวนชั่วโมงที่ใช้ใน 1 วัน = จำนวนหน่วยต่อวัน (ยูนิต)

เช่น เตาอบขนม 2,000 วัตต์ X 2 เครื่อง  ÷ 1,000 x 4 (ชั่วโมง) =  16 หน่วย (ยูนิต)

วิธีลดค่าไฟฟ้าที่สามารถทำตามได้ง่าย ๆ

เมื่อเหล่าผู้ประกอบการได้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟแพง รวมทั้งรู้วิธีการคำนวณค่าไฟจากการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในขั้นต้นไปแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องทราบนั่นก็คือเทคนิคการประหยัดไฟเบื้องต้น ที่จะทำให้ภาระค่าไฟฟ้าของผู้ประกอบการลดลง 

1 สำรวจและดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้อยู่เสมอ ควรตรวจเช็กว่าเราใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรบ้าง เพื่อทำการดูแลรักษาหรือเปลี่ยนใหม่ หากเครื่องใช้ไฟฟ้าของเราเก่าเกินไป

2 ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งหลังการใช้งาน หรือปิดไฟหลังการใช้งานทุกครั้ง โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผู้ประกอบการในวงการอาหารและเบเกอรี่ต้องใช้อยู่เป็นประจำอย่างเช่น

2.1 ตู้เย็น ตู้แช่ 

  • ควรตั้งอุณหภูมิพอสมควร
  • นำของที่ไม่ร้อนใส่ตู้เย็น
  • ปิดประตูตู้เย็นทันทีเมื่อนำของใส่หรือออก
  • ปิดประตูตู้เย็นให้สนิท
  • หากยางขอบประตูรั่วให้รีบแก้ไข
  • เลือกตู้เย็นหรือตู้แช่ชนิดมีประสิทธิภาพสูง
  • ควรใช้ตู้เย็นขนาดเหมาะกับครอบครัว
  • ควรตั้งตู้เย็นให้ห่างจากแหล่งความร้อน ให้หลังตู้ห่างจากฝาเกิน 15 ซ.ม. เพื่อระบายความร้อนได้สะดวก ไม่เปลืองไฟฟ้า
  • ควรหมั่นทำความสะอาดแผงระบายความร้อน
  • ควรเก็บเฉพาะอาหารเท่าที่จำเป็น
  • ตู้เย็นแบบประตูเดียว กินไฟน้อยกว่าแบบ 2 ประตู
  • หมั่นละลายน้ำแข็งเมื่อเห็นว่าน้ำแข็งเกาะหนามาก

2.2 เตาอบ เตาไฟฟ้า

เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทนี้ ใช้ความร้อนมาทำให้อาหารสุก หากให้ความร้อนสูญเสียไปโดยการใช้ไม่ถูกวิธี ทำให้อาหารสุกช้าลง กินกระแสไฟเพิ่มขึ้น เราจึงมีข้อแนะนำในการใช้เตาไฟฟ้าที่ถูกวิธี และช่วยให้ให้ประหยัดค่าไฟได้มากขึ้น ดังนี้ 

  • ควรเตรียมวัตถุดิบให้พร้อมก่อนใช้เตา
  • ควรใช้ภาชนะก้นแบนและเป็นโลหะจะทำให้รับความร้อน จากเตาได้ดี
  • ในระหว่างอบอาหารอย่าเปิดตู้อบบ่อย ๆ
  • ถอดเต้าเสียบทันทีหลังใช้งานเสร็จ

2.3 เครื่องตีแป้ง (เครื่องผสมอาหาร)

  • ไม่ควรเปิดใช้งานเครื่องจนเกินกำลัง หรือไม่ควรใช้งานจนเครื่องเกิดความร้อน เพราะจะทำให้กินไฟมากกว่าปกติ
  • คอยดูแลไม่ให้สายไฟชำรุดหรือมีรอยรั่ว
  • ปิดสวิตช์ และถอดปลั๊กไฟทุกครั้งหลังใช้งานเสร็จ
  • หากเน้นงานนวดแป้ง แต่ไม่ได้ทำมากมายถึงขนาดต้องใช้เครื่องผสมใหญ่เป็นสิบลิตร หรือเครื่องแบบสองแขน แนะนำให้ซื้อเครื่องสำหรับนวดแบบแยกจากเครื่องผสม เพื่อป้องกันไม่ให้มอเตอร์ของเครื่องผสมแป้งทำงานหนักเกินไปนั่นเอง

เมื่อผู้ประกอบการได้ทราบถึงสาเหตุของค่าไฟแพง พร้อมวิธีประหยัดไฟไปแล้วSANDI APPLICATION หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ประกอบการจะนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ แต่หากนำไปปรับใช้แล้วยังพบว่าค่าไฟยังคงสูงผิดปกติ ก็สามารถแจ้งเรื่องไปที่ เว็บไซต์การไฟฟ้า โดยตรง หรือ ลงทะเบียนออนไลน์รับคืนเงิน “ค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า” จากมาตรการที่ช่วยเหลือประชาชนที่กำลังเดือดร้อน สำหรับผู้ประกอบการท่านใดที่มีสิทธิ์รับเงินคืนค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า เช่น เป็นเจ้าของมิเตอร์ไฟฟ้าภายในบ้าน หรือธุรกิจขนาดเล็ก สามารถลงทะเบียนกันได้ตามช่องทางข้างต้นที่เราได้แนะนำเอาไว้ อย่างน้อยก็ช่วยเซฟต้นทุนในการประกอบกิจการได้มากขึ้นนั่นเอง

ข้อมูลจากเว็ป : www.unileverfoodsolutions.co.th

Share:

Facebook
Twitter
Pinterest
LinkedIn
On Key

Related Posts